หลักฐานสมัยทวารดีที่พบส่วนใหญ่เป็นศิลาจารึกที่เกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไม่มีข้อความกล่าวถึงเรื่องราวทางราชสำนักหรือเรื่องอื่น ๆ ทำให้ความรู้เกี่ยวกับรัฐนี้ไม่ชัดเจนปรากฏเฉพาะด้านศิลปกรรมทางวัฒนธรรมแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของรัฐทวารวดี
วัฒนธรรมทวารวดีแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ
1.วัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลาง ซากเมืองโบราณที่พบ ได้แก่ เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี และเมืองกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เมืองมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เมืองจันเสนอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมืองพระรถ จังหวัดชลบุรี เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น รัฐทวารวดีทางภาคกลางแต่เดิมเข้าใจว่าคงมีศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม แต่เมื่อมีการขุดค้นเมืองอู่ทองซึ่งมีซากเมืองโบราณใหญ่โตทำให้เชื่อว่าเมืองอู่ทองอาจจะเป็นศูนย์กลางของรัฐทวารวดีทางภาคกลางมากกว่าเมืองนครปฐม
2.วัฒนธรรมทวารวดีทางภาคเหนือ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหริกุญไชย ปัจจุบันคือจังหวัดลำพูน ในหนังสือจามเทวีวงศ์ ได้กล่าวว่า ฤาษีเป็นผู้สร้างเมืองหริกุญไชยขึ้น เมื่อสร้างเสร็จได้ส่งทูตไปอัญเชิญพระนางจามเทวีราชธิดาของพระราชาแห่งลวปุระขึ้นมาปกครอง ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นมเหสีของเจ้าเมืองมอญและทรงตั้งครรถ์ได้ 3 ดือน เสด็จไปครองหริกุญชัย พระนางจามเทวีทรงมีโอรส 2 องค์ องค์ใหญ่พระนามว่า มหันตยศ ต่อมาได้ครอบครองราชสมบัติที่เมืองหริกุญไชย องค์เล็กพระนามว่า อนันตยศ พระนางจามเทวีได้ไปสร้างเมืองเขลางค์นครให้ครอบครอง ราชวงศ์ของพระนางจามเทวีปกครองรัฐหริกุญไชยสืบต่อมาตามลำดับ จนถึงราว พ.ศ.1590เรื่องราวของพระนางจามเทวีแม้เป็นเพียงตำนาน แต่ก็เป็นหลักฐานที่ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทวารวดีทางภาคกลางและรัฐหริกุญไชย หลักฐานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ศิลาจารึกที่พบตามวัด ต่าง ๆ ในลำพูนซึ่งพบถึง 7 หลักจารึกด้วยภาษามอญ ศิลปกรรมของหริกุญชัยที่สำคัญได้แก่ สถูปพระธาตุหริกุญไชยองค์เดิม พระสุวรรณเจดีย์ และเจดีย์เหลี่ยมที่วัดกู่กุด ใบเสมาขนาดใหญ่เป็นต้น
3.วัฒนธรรมทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซากเมืองโบราณแบบทวารวดีที่พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่เมืองเสมา จังหวัดนครราชสีมา เมืองฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมืองหนองหาน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี บริเวณบ้านดอนแก้ว อำเภอกุมภวาปี พบเสมาหินสมัยทวารวดี อำเภอบ้านผือจังหวัดอุดรธานีพบ พระพุทธรูปที่แกะสลักหินใต้เพิงผา เสมาแสดงสถานที่ศักดิ์สิทธิเมืองโบราณบ้านตาดทอง จังหวัดยโสธร เป็นต้น
เมืองเหล่านี้ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างแน่ชัด แต่มีตำนานอุรังคธาตุ กล่าวถึงกษัตริย์ 4เมือง คือ พญาจุลณีพรหมทัตผู้ครองแคว้นบริเวณหลวงพระบางสิบสองจุไทยพญาคำแดง ผู้ครองแคว้นหนองหานน้อย พญานันทเสน ผู้ครองแคว้นศรีโคตรบูรณ์ พญาอินทปัฐนครผู้ครองแคว้นเขมรโบราณได้มาร่วมกันสร้างพระธาตุพนม ประกอบด้วย เพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุคือกระดูกหน้าอกของพระพุทธเจ้าที่พระมหากัสสปเถระนำมาจากเมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย บริเวณที่สร้างพระธาตุพนม คือ ภูกำพร้าในเขตนครโคตรบูรณ์
โบราณสถานสมัยทวารวดีทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากซากเมืองโบราณที่ใหญ่โต คือ ที่เมืองฟ้าแดดสูงยาง และที่เมืองอื่น ๆ แล้วโบราณสถานที่สำคัญคือ พระธาตุพนมองค์เดิมพระธาตุเชิงชุมองค์เดิม (องค์ปัจุบันได้สร้างศิลปแบบล้านช้างครอบทับไว้ )พุทธบาทบัวบกและหอนางอุสา ที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งกำลังจดทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นต้น
เมื่อพระธาตุพนมโค่นล้มลง ทำให้สามารถพบลักษณะพระธาตุพนมองค์เดิม ซึ่งสร้างด้วยอิฐก้อนใหญ่และอิฐแต่ละก้อนได้สลักภาพเอาไว้ด้วย ด้านศิลปวัตถุที่สำคัญ คือ การสร้างพระพุทธรูปและใบเสมาของรัฐโคตรบูร มีลักษณะพิเศษนอกจากจะใหญ่โตแล้วยังนิยมแกะสลักเป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ทำให้ได้หลักฐานเพิ่มเติมว่าพระธาตุพนมแต่เดิมไม่ได้สร้างตามลักษณะศิลปะล้านช้างหากแต่เป็นศิลปสมัยศรีโคตรบูรณ์และมีลักษณะคล้ายกับศิลปของจามเข้ามาผสมผสาน
เท่าที่ผู้เขียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้ หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีน้อยมากอยากให้มีผู้ค้นคว้าที่มีความรู้ทางโบราณคดีช่วยเขียนโดยละเอียดน่าอ่านสักเล่ม ผู้เขียนได้นำนักเรียนไปทัศนศึกษาที่อุทยานประวัติศาสตร์พุทธบาทบัวบก ได้ไปสอบหาหนังสือกับเจ้าหน้าที่อุทยานประวัติศาสตร์ มีแต่ศิลปะทวารวดีที่เน้นภาคอื่นเป็นหลัก อย่างไรก็ดีการจัดวิทยากรและสถานที่ของอุทยานแห่งนี้ ทำได้ดีและน่าทึ่งมาก
ขอบคุนข้อมูลจาก GotoKnow
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น